วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์


ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"

คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้

www.thaiwbi.com/course/intro_com/lntro_com/wbi1/hielpage11.htm-5k-

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
ต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์ ประมาณ 5000 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นการที่มนุษย์รู้จักการนับหรือการบวกลบเลขโดยใช้นิ้วมือ ต่อมาชาวกรีกรู้จักการขีดเขียนบนพื้นดินเป็นรูปเส้นตรงแนวตั้งและแนวนอนแล้วก้อนหินเรียงกันเป็นแถวแทนจำนวนเลขในแต่ละหลัก
ประมาณ 2000- 3000 ปีที่ผ่านมา ชาวจีนและญี่ปุ่นได้นำความคิดนั้นมาดัดแปลง โดยใช้วัสดุอื่นแทนลูกหินและใช้โลหะแทนเชือก สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของชาวจีนเรียกว่าลูกคิด ส่วนของญี่ปุ่นเรียกว่า Soroban ดังนั้นจึงถือว่าลูกคิดคือต้นกำเนิดของ "คอมพิวเตอร์"
ประมาณ ค.ศ. 1617 จอห์น เนเปียร์ นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตได้คิดสร้างเครื่องคิดเลขชนิดหนึ่ง โดยการเขียนตารางตัวเลขต่าง ๆ บนกระดูกสัตว์ 10 แท่ง ซึ่งเรียกว่ากระดูกเนเปียร์
ประมาณ ค.ศ. 1620 เอดมัน กันเตอร์ ได้พัฒนาความคิดของเนเปียร์ โดยการประดิษฐ์ไม้บรรทัดเพียงอันเดียว แทนกระดูก 10 แท่ง ค.ศ. 1632 วิลเลี่ยม ออตเทรด ได้พัฒนาไม้บรรทัดของกันเตอร์ขึ้นมาเป็น ไม้บรรทัดคำนวณ(Slide Rule)
คอมพิวเตอร์เครื่องจักรกล
ค.ศ.1642 เบลส์ ปาสคาล นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลข โดยใช้หลักการของการหมุนของฟันเฟืองและการทดแลขเมื่อฟันเฟืองหมุนไปครบรอบ สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่า Pascaline Calculator เครื่องมือชนิดนี้คือสามารถ บวกกับลบเท่านั้น
ค.ศ. 1671 กอดฟริต วอลแฮม บารอน ลิบนิซ นักปราชญ์ชาวเยอรมัน ได้ทำการปรับปรุงเครื่องคิดเลขชนิดฟันเฟืองให้สามารถหารเลขและคูณได้ โดยมีชื่อเรียกว่า Arithmometer Machine
ค.ศ.1745 โจเซฟ แจคการ์ด นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสได้คิด วิธีการใช้ช่องที่ปรากฎอยู่บนช่องของบัตรเจาะรู นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานด้วยบัตรเจาะรูและถือว่าเป็น เครื่องจักรที่ใช้โปรแกรมสั่งเครื่องทำงานเป็นเครื่องแรกของโลก
ค.ศ 1812 ชาร์ลส์ แบบเบจ ได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรกลที่สามารถทำการคำนวณในด้านต่าง ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น โดยเรียกเครื่องจักรนี้ว่า Difference Engine
ค.ศ. 1822 แบบเบจ ได้เปลี่ยนมาสร้างเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Analytical Engine ซึ่งเป็นเครื่องต้นแบบของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้
ค.ศ. 1843 เลดี้ เอดา ออกุสตา นำเครื่อง Analytical Engine ของแบบเบจมาใช้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้เป็นผลสำเร็จ จนสามารถเขียนวิธีใช้เครื่องมือแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ชั้นสูง จึงนับได้ว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกยอร์จ บูล ได้คิดระบบพีชคณิตแบบใหม่ขึ้นมาได้เรียกว่า Boolean Algebra ที่มีโครงสร้างทางตรรกวิทยา เพื่อหาข้อเท็จจริงโดยอาศัยเหตุผลต่าง ๆ ที่เป็นเงื่อนไข ซึ่งใช้สภาวะ 0 กับ 1 ร่วมกับเครื่องหมายฟื้นฐาน คือ not and และ orดร.เฮอร์แมน ฮอลเลอริธ ได้ถูกว่าจ้างจากรัฐบาลให้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการสำร
คอมพิวเตอร์ชนิดจักรกลไฟฟ้า
ศาสตราจารย์ โฮเวิร์ด ไอเคน ได้ออกแบบสร้างเครื่องคำนวณตามความคิดของ แบบเบ ที่ใช้บัตรเจาะรูเป็นสื่อบันทึกข้อมูลเข้าเครื่อง เครื่องมือที่ประดิษฐ์ขึ้นมามีชื่อว่า Automatic Sequence Controlled Calculator (ASCC) หรือที่เรียกว่า Mark I
คอมพิวเตอร์อิเลกทรอนิกส์
จอห์น อทานาซอฟ กับ ชิฟฟอร์ด เบอรี ได้ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องอิเลกทรอนิกส์ดิจิตอลคอมพิวเตอร์เป็นผลสำเร็จเป็นเครื่องแรกของโลก มีชื่อว่า ABC โดยการนำหลอดสูญญากาศมาใช้แทนเครื่องจักรกลไฟฟ้า
จอร์น มอชลี่ กับ เปรสเปอร์ แอคเคริท ได้ร่วมมือกันประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์อิเลกทรอนิกส์ ชื่อว่า ENIAC โดยใช้หลอดสูญญากาศ ประมาณ 1800 หลอด
แนวความคิดการจัดเก็บโปรแกรม
ค.ศ.1949 ดร.จอหน์ วอน นิวแมน นักคณิตศาสตร์ นักตรรกวิทยาและฟิกส์ได้ค้นพบการเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการแปลงชุดคำสั่ง ให้เป็นเลขฐานซึ่งสามารถปรับเข้าได้กับวงจรไฟฟ้า โดยทำการต่อวงจรไฟฟ้าสำหรับการคำนวณและการปฎิบัติการพื้นฐานไว้ และมีการเรียกผ่านทางรหัสตัวเลขที่ระบุไว้ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า EDVAC นับเเป็นครื่องคอมพิวเตอร์อิเลกทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้ระบบเลขฐานสองและสามารถเก็บโปแกรมไว้ในเครื่องได้ด้วยในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษมีการสร้างคอมพิวเตอร์ที่คล้าย EDVAC ,มีชื่อว่า EDSAC แต่ใช้เทปม่เหล็กเป็นสื่อในการนำคำสั่งและข้อมูลเข้าออกเครื่องแทนบัตรเจาะรู ค.ศ. 1952 จอห์น วอน นิวแมน ได้ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จ มีชื่อว่า IAS ทำให้เป็นแบบอย่างในการคิดประดิษฐ์เครื่องคอมมาจนถึงทุกวันนี้ ยุคของคอมพิวเตอร์อิเลกทรอกนิกส์
ยุคที่1 (First Genration) มีลักษณะเป็นอิเลกทรอนิกส์ดิจิตอล ใช้วงจรสูญญากาศ จึงมีขนาดใหญ่ มีความร้อนมาก มีความเร็วในการทำงานเป็น วินาที มีการนำสื่อประเภทดรัมแม่เหล็ก ใช้ภาษาเครื่องจักร และภาษาแอสแซมบลี
ยุคที่ 2 (Second Generation) นำอุปกรณ์ที่เรียกว่า ทรานซิสเตอร์ มาแทนหลอดสูญญากาศ นอกจากนั้นยังใช้วงแหวนแม่เหล็ก เป็นหน่วยความจำเก็บข้อมูลแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้การทำงานมีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเป็น มิลลิวินาที ภาษาที่ใช้คือ COBOL FORTAN ALGOL
ยุคที่ 3 (Third Generation) มีการนำวงจรเบ็ดเสร็จ (IC) ที่สามารถบรรจุวงจรทางตรรกะไว้ได้หลายวงจร วงจรนี้สามารถทำงานได้เท่ากับทรานซิสเตอร์หลายร้อยตัว ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดที่เล็กลง มีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเป็นไมโคร วินาที ภาษาที่ใช้คือ PL/1 RPG
ยุคที่ 4 (Fourth Generation) .ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่ คือเทคโนโลยีวงจรเบ็ดเสร็จ หรือทรานซิสเตอร์เป็นจำนวนมากมาลงในแผ่นซิลิกอน ไมโครโปรเซเซอร์ เป็นการบรรจุวงจรที่สำคัญสำหรับฟังก์ชันงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดมาลงในชิปตัวเดียว ถือเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ภาษาที่ใช้คือ BASIC PASCAL

www.geocities.com/suporn_m2002/Devel.htmi-6k-
ชนิดของคอมพิวเตอร์
พัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอดีตเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอดสุญญากาศขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และอายุการใช้งานต่ำ เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์ที่ทำจากชินซิลิกอนเล็ก ๆ ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และผลิตได้จำนวนมาก ราคาถูก ต่อมาสามารถสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนหลายแสนตัวบรรจุบนชิ้นซิลิกอนเล็ก ๆ เป็นวงจรรวมที่เรียกว่า ไมโครชิป (microchip) และใช้ไมโครชิปเป็นชิ้นส่วนหลักที่ประกอบอยู่ในคอมพิวเตอร์ ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง
ไมโครชิปที่มีขนาดเล็กนี้สามารถทำงานได้หลายหน้าที่ เช่น ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูล ทำหน้าที่เป็นหน่วยควบคุมอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก หรือทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ หมายถึงหน่วยงานหลักในการคิดคำนวณ การบวกลบคูณหาร การเปรียบเทียบ การดำเนินการทางตรรกะ ตลอดจนการสั่งการเคลื่อนข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หน่วยประมวลผลกลางนี้เรียกอีกอย่างว่า ซีพียู (Central Processing Unit : CPU)



การพัฒนาไมโครชิปที่ทำหน้าที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์มีการกระทำอย่างต่อเนื่องทำให้มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเกิดขึ้นเสมอ จึงเป็นการยากที่จะจำแนกชนิดของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างชัดเจน เพราะเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพอจะจำแนกชนิดคอมพิวเตอร์ตามสภาพการทำงานของระบบเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่และสภาพการใช้งาน
ไมโครคอมพิวเตอร์ (micro computer)
สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation)
มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)

ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย
อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้งอักขระ
แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display : LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม






โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้ำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือน กับแล็ปท็อป


ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่นเป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจนบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก


สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation)

ผู้ใช้สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่องกราฟิก การสร้างรูปภาพและการทำภาพเคลื่อนไหว การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็นเครือข่ายทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จสำหรับใช้กับสถานีงานวิศวกรรมขึ้น เช่นโปรแกรมการจัดทำต้นฉบับหนังสือ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์ งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุมเครื่องจักร
การซื้อสถานีงานวิศวกรรมต่างจากการซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ และมีลักษณะการใช้งานเหมือนกัน ส่วนการซื้อสถานีงานวิศวกรรมนั้นยุ่งยากกว่า สถานีงานวิศวกรรมมีราคาแพงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์มาก การใช้งานก็ต้องการบุคลากรที่มีการฝึกหัดมาอย่างดี หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้
สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่ใช้ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์ ประสิทธิภาพของซีพียูของระบบอยู่ในช่วง 50-100 ล้านคำสั่งต่อวินาที (Million Instruction Per Second : MIPS) อย่างไรก็ตามหลักจากที่ใช้ซีพียูแบบริสก์ (Reduced Instruction Set Computer :RISC) ก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถเชิงคำนวณของซีพียูสูงขึ้นได้อีก ทำให้สร้างสถานีงานวิศวกรรมให้มีขีดความสามารถเชิงคำนวณได้มากกว่า 100 ล้านคำสั่งต่อวินาที


มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
มินิคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร


เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก
เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัด
ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม


ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงานคำนวณที่ต้องมีการคำนวณตัวเลขจำนวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น งานพยากรณ์อากาศ ที่ต้องนำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน และระดับชึ้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ งานนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก นอกจากนี้มีงานอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งมีความเร็วสูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุะ งานควบคุมทางอวกาศ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี เภสัชวิทยา และงานด้านวิศวกรรมการออกแบบ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบขนานที่เรียกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing : MPP) ซึ่งเป็นการคำนวณที่กระทำกับข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลา

ไม่มีความคิดเห็น: