วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

แบบฝึกหัดบทที่ 5

1. ความหมายของซอฟต์แวร์
ตอบ ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นลำดับขั้นตอนของการทำงาน ชุดคำสั่งเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์อ่านชุดคำสั่งแล้วทำงานตาม ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จัดทำขึ้น และคอมพิวเตอร์จะทำงานตามคุณลักษณะของซอฟต์แวร์ที่วางไว้แล้วเท่านั้น ชนิดของซอฟต์แวร์แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software)
2.ประสิทธิภาพของซอฟต์ประมวลคำ
ตอบ 1) สามารถควบคุมสั่งจัดวางรูปแบบเอกสารได้ใหม่ตามต้องการ
2) ช่วยควบคุมให้แก้ไขดัดแปลงข้อความเป็นกลุ่ม
3) สามารถควบคุมการแสดงตัวสะกด
3.ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่
ตอบ มีหน้าที่ประสารงานหรือกำกับดูแลการทำงานของคอมพิวเตอร์ในการกำหนดว่าจะเก็บโปรแกรมหรือข้อมูลเก็บไว้ในส่วนใดของหน่วยความจำ ดูแลการติดต่อระหว่างส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์กับโปรแกรมใช้งานหรือผู้ใช้คอมพิวเตอร์
4.ลักษณะของซอฟแวร์ประยุกต์เฉพาะทาง
ตอบ เป็นโปรแกรมที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาสำหรับนำไปใช้เฉพาะด้านหรือในสาขาใดสาขาหนึ่งตามความต้องการของผู้ใช้
5.ซอฟต์แวร์ตารางทำงานนอกเหนือจากบทเรือน 2 ข้อ
ตอบ 1.เป็นเครื่องมือเพื่อการวิเคราะห์
2.คำนวณตัวเลขให้กับผู้ใช้
6.ประโยชน์ของซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล
ตอบ ดำเนินการจัดการข้อมูลได้ง่ายหลีกเลี่ยงความซับซ้อนของข้อมูล
7.แอสเซมบลีเป็นภาษาระดับใดรและมีลักษณะอย่างไร
ตอบ ภาษาระดับตำ มีลักษณะเป็นอักษรที่ใช้ในอักษรภาษาอังกฤษเป็นคำสั่ง
8.ตัวแปลภาษาระดับสูง
ตอบ 1.ภาษาฟอร์แทรน
2.ภาษาโคบอล
3.ภาษาเบสิก
4.ภาษาปาสคาล
5.ภาษาซี หรือซีพลัสพลัส
6.ภาษาวิชวลเบสิก
7.การเขียนโปรแกรมแบบจิตภาพ
8.ภาษาจาวา
9.ภาษาเดลฟาย

แบบฝึกหัดบทที่ 6




2.ตอบอยู่ด้านบน
1.วิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหาต่อไปนี้
1.1การหาพื้นที่สามเหลี่มใดๆ
ตอบ 1.การระบุข้อมูลเข้า คือ พื้นที่รูปสามเหลี่ยมใดๆ1/2คูณ สูง คูณ ฐาน
2.การระบุข้อมูลออก คือการหาพื้นที่รูปสามเหลี่ยมใดๆ
3.การกำหนดวิธีการประมวลผล คือโจทย์ต้องการหา "พื้นที่รูปสามเหลี่ยมใดๆ"
1.2การคำนวณหาจำนวนเงินในบัญชีเงินฝากแบบประจำที่มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ8ต่อปี เมื่อนายสมชายฝากเงินครบ5ปีด้วยเงินต้นครั้งแรกจำนวน1000บาท
ตอบ1.การระบุข้อมูลเข้า คือโจทย์กำหนดให้หาจำนวนเงินในบัญชิฃีเงินฝากแบบประจำมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ8ต่อปีเมื่อฝากครบ5ปีด้วยเงินต้นครั้ง แรกจำนวน1000บาท
2.การระบุข้อมูลออก คือ จำนวนเงินในบัญชีเงินฝาก
3 .การกำหนดวิธีการประมวลผล คือ
3.1 จำนวนเงินต้นครั้งแรก 1000บาท
3 .2มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ8ต่อปี คิดโดยนำเอา8 หาร 100 คูณ 1000มีค่าเท่ากับ80
3.3ในเวลา 5 ปี มีดอกเบี่ย เท่ากับ 80 คูณ 5 เท่ากับ 400บาท
3.4 นำผลลัพธ์ ที่ได้ 400บาทมารวมกับจำนวนเงินต้นจะมีเงินในบัญชีทั้งสิ้น1400บาท
1.3 การคำนวณเกรดเทคโนโลยีสารสนเทศให้แก่นักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 คนดโยกำหนดให้คะแนนเติมในการเก็บคะแนนและการสอบทั้งหมดของวิชานี้คือ 100 คะแนนกฎเกณฑ์ในการให้เกรดคือ
-นักเรียนที่ได้คะแนนตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไป ได้เกรด 4
-นักเรียนที่ไดคะแนน 70-79 ได้เกรด 3
นักเรียนที่ได้คะแนน 60-69 ได้เกรด 2
-นักเรียนที่ได้คำแนน50-59 ได้เกรด
-นักเรียนที่ได้คะแนนตำกว่า50 ได้เกรด 0
ตอบ1.การระบุข้อมูลเข้าจากโจทย์ข้อมูลเข้าคือ- นักเรียนมีทั้งหมด 30 คน- คะแนนเต็ม 100 คะแนนมีเกณฑ์ให้คะแนนคือ > 80 ได้เกรด 470-79 ได้เกรด 360-69 ได้เกรด 250-59 ได้เกรด 1<>
2.การระบุข้อมูลออกต้องการเกรดเฉลี่ย ของนร. ชั้นม. 4 จำนวน 30 คน
3.การกำหนดวิธีการประมวลผล1.นำคะแนนเก็บของนักเรียนทั้ง 30 คน มาตรวจสอบ ว่าแต่ละคนได้ เกรดอะไร2.นำเกรดของทั้ง 30 คนมาบวกกัน3.นำเกรดที่บวกได้/จำนวนนร.ทั้งหมด
4.ได้เกรดวิชาเทคโนโลยีและสารสนเทศของนร.
3. หากนักเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาโปรแกรมคำนวณเกรดเฉลี่ยของนักเรียนในโรงเรียน นักเรียนจะเลือกใช้ภาษาปาสคาล ภาษาจาวา หรือภาษาเดลฟายในการเขียนโปรแกรมดังกล่าว เพราะเหตุใด
ตอบหากนักเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาโปรแกรมคำนวณเกรดเฉลี่ยของนักเรียนในโรงเรียน นักเรียนจะเลือกใช้ภาษาปาสคาล ภาษาจาวา หรือภาษาเดลฟายในการเขียนโปรแกรมดังกล่าว เพราะเหตุใดตอบ. จะให้เลือกภาษาปาสคาล เพราะว่าเป็นภาษาในกลุ่มโปรแกรมแบบโครงสร้าง ซึ่งมุ่งเน้นให้มีการแบ่งโปรแกรมออกเป็นส่วนย่อยๆชัดเจนจากนั้นจึงค่อยเชื่อมโยงทำให้สามารถจัดการได้โดยง่าย ภาษปาสคาลจึงเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสำหรับสร้างพื้นฐานความคิดในการเขียนโปรแกรมโครงให้แก่นักเรียน สามารถให้ทักษะในการเขียนโปรแกรมอย่างมีหลักเกณฑ์และถูกต้อง และสามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เครื่องคอมพิวเตอร์

องค์ประกอบพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์















วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์


ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"

คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้

www.thaiwbi.com/course/intro_com/lntro_com/wbi1/hielpage11.htm-5k-

วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
ต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์ ประมาณ 5000 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นการที่มนุษย์รู้จักการนับหรือการบวกลบเลขโดยใช้นิ้วมือ ต่อมาชาวกรีกรู้จักการขีดเขียนบนพื้นดินเป็นรูปเส้นตรงแนวตั้งและแนวนอนแล้วก้อนหินเรียงกันเป็นแถวแทนจำนวนเลขในแต่ละหลัก
ประมาณ 2000- 3000 ปีที่ผ่านมา ชาวจีนและญี่ปุ่นได้นำความคิดนั้นมาดัดแปลง โดยใช้วัสดุอื่นแทนลูกหินและใช้โลหะแทนเชือก สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของชาวจีนเรียกว่าลูกคิด ส่วนของญี่ปุ่นเรียกว่า Soroban ดังนั้นจึงถือว่าลูกคิดคือต้นกำเนิดของ "คอมพิวเตอร์"
ประมาณ ค.ศ. 1617 จอห์น เนเปียร์ นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตได้คิดสร้างเครื่องคิดเลขชนิดหนึ่ง โดยการเขียนตารางตัวเลขต่าง ๆ บนกระดูกสัตว์ 10 แท่ง ซึ่งเรียกว่ากระดูกเนเปียร์
ประมาณ ค.ศ. 1620 เอดมัน กันเตอร์ ได้พัฒนาความคิดของเนเปียร์ โดยการประดิษฐ์ไม้บรรทัดเพียงอันเดียว แทนกระดูก 10 แท่ง ค.ศ. 1632 วิลเลี่ยม ออตเทรด ได้พัฒนาไม้บรรทัดของกันเตอร์ขึ้นมาเป็น ไม้บรรทัดคำนวณ(Slide Rule)
คอมพิวเตอร์เครื่องจักรกล
ค.ศ.1642 เบลส์ ปาสคาล นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลข โดยใช้หลักการของการหมุนของฟันเฟืองและการทดแลขเมื่อฟันเฟืองหมุนไปครบรอบ สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่า Pascaline Calculator เครื่องมือชนิดนี้คือสามารถ บวกกับลบเท่านั้น
ค.ศ. 1671 กอดฟริต วอลแฮม บารอน ลิบนิซ นักปราชญ์ชาวเยอรมัน ได้ทำการปรับปรุงเครื่องคิดเลขชนิดฟันเฟืองให้สามารถหารเลขและคูณได้ โดยมีชื่อเรียกว่า Arithmometer Machine
ค.ศ.1745 โจเซฟ แจคการ์ด นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสได้คิด วิธีการใช้ช่องที่ปรากฎอยู่บนช่องของบัตรเจาะรู นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานด้วยบัตรเจาะรูและถือว่าเป็น เครื่องจักรที่ใช้โปรแกรมสั่งเครื่องทำงานเป็นเครื่องแรกของโลก
ค.ศ 1812 ชาร์ลส์ แบบเบจ ได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรกลที่สามารถทำการคำนวณในด้านต่าง ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น โดยเรียกเครื่องจักรนี้ว่า Difference Engine
ค.ศ. 1822 แบบเบจ ได้เปลี่ยนมาสร้างเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Analytical Engine ซึ่งเป็นเครื่องต้นแบบของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้
ค.ศ. 1843 เลดี้ เอดา ออกุสตา นำเครื่อง Analytical Engine ของแบบเบจมาใช้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้เป็นผลสำเร็จ จนสามารถเขียนวิธีใช้เครื่องมือแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ชั้นสูง จึงนับได้ว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกยอร์จ บูล ได้คิดระบบพีชคณิตแบบใหม่ขึ้นมาได้เรียกว่า Boolean Algebra ที่มีโครงสร้างทางตรรกวิทยา เพื่อหาข้อเท็จจริงโดยอาศัยเหตุผลต่าง ๆ ที่เป็นเงื่อนไข ซึ่งใช้สภาวะ 0 กับ 1 ร่วมกับเครื่องหมายฟื้นฐาน คือ not and และ orดร.เฮอร์แมน ฮอลเลอริธ ได้ถูกว่าจ้างจากรัฐบาลให้สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการสำร
คอมพิวเตอร์ชนิดจักรกลไฟฟ้า
ศาสตราจารย์ โฮเวิร์ด ไอเคน ได้ออกแบบสร้างเครื่องคำนวณตามความคิดของ แบบเบ ที่ใช้บัตรเจาะรูเป็นสื่อบันทึกข้อมูลเข้าเครื่อง เครื่องมือที่ประดิษฐ์ขึ้นมามีชื่อว่า Automatic Sequence Controlled Calculator (ASCC) หรือที่เรียกว่า Mark I
คอมพิวเตอร์อิเลกทรอนิกส์
จอห์น อทานาซอฟ กับ ชิฟฟอร์ด เบอรี ได้ร่วมกันประดิษฐ์เครื่องอิเลกทรอนิกส์ดิจิตอลคอมพิวเตอร์เป็นผลสำเร็จเป็นเครื่องแรกของโลก มีชื่อว่า ABC โดยการนำหลอดสูญญากาศมาใช้แทนเครื่องจักรกลไฟฟ้า
จอร์น มอชลี่ กับ เปรสเปอร์ แอคเคริท ได้ร่วมมือกันประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์อิเลกทรอนิกส์ ชื่อว่า ENIAC โดยใช้หลอดสูญญากาศ ประมาณ 1800 หลอด
แนวความคิดการจัดเก็บโปรแกรม
ค.ศ.1949 ดร.จอหน์ วอน นิวแมน นักคณิตศาสตร์ นักตรรกวิทยาและฟิกส์ได้ค้นพบการเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการแปลงชุดคำสั่ง ให้เป็นเลขฐานซึ่งสามารถปรับเข้าได้กับวงจรไฟฟ้า โดยทำการต่อวงจรไฟฟ้าสำหรับการคำนวณและการปฎิบัติการพื้นฐานไว้ และมีการเรียกผ่านทางรหัสตัวเลขที่ระบุไว้ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า EDVAC นับเเป็นครื่องคอมพิวเตอร์อิเลกทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้ระบบเลขฐานสองและสามารถเก็บโปแกรมไว้ในเครื่องได้ด้วยในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษมีการสร้างคอมพิวเตอร์ที่คล้าย EDVAC ,มีชื่อว่า EDSAC แต่ใช้เทปม่เหล็กเป็นสื่อในการนำคำสั่งและข้อมูลเข้าออกเครื่องแทนบัตรเจาะรู ค.ศ. 1952 จอห์น วอน นิวแมน ได้ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จ มีชื่อว่า IAS ทำให้เป็นแบบอย่างในการคิดประดิษฐ์เครื่องคอมมาจนถึงทุกวันนี้ ยุคของคอมพิวเตอร์อิเลกทรอกนิกส์
ยุคที่1 (First Genration) มีลักษณะเป็นอิเลกทรอนิกส์ดิจิตอล ใช้วงจรสูญญากาศ จึงมีขนาดใหญ่ มีความร้อนมาก มีความเร็วในการทำงานเป็น วินาที มีการนำสื่อประเภทดรัมแม่เหล็ก ใช้ภาษาเครื่องจักร และภาษาแอสแซมบลี
ยุคที่ 2 (Second Generation) นำอุปกรณ์ที่เรียกว่า ทรานซิสเตอร์ มาแทนหลอดสูญญากาศ นอกจากนั้นยังใช้วงแหวนแม่เหล็ก เป็นหน่วยความจำเก็บข้อมูลแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้การทำงานมีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเป็น มิลลิวินาที ภาษาที่ใช้คือ COBOL FORTAN ALGOL
ยุคที่ 3 (Third Generation) มีการนำวงจรเบ็ดเสร็จ (IC) ที่สามารถบรรจุวงจรทางตรรกะไว้ได้หลายวงจร วงจรนี้สามารถทำงานได้เท่ากับทรานซิสเตอร์หลายร้อยตัว ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดที่เล็กลง มีความเร็วเพิ่มมากขึ้นเป็นไมโคร วินาที ภาษาที่ใช้คือ PL/1 RPG
ยุคที่ 4 (Fourth Generation) .ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่ คือเทคโนโลยีวงจรเบ็ดเสร็จ หรือทรานซิสเตอร์เป็นจำนวนมากมาลงในแผ่นซิลิกอน ไมโครโปรเซเซอร์ เป็นการบรรจุวงจรที่สำคัญสำหรับฟังก์ชันงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดมาลงในชิปตัวเดียว ถือเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ภาษาที่ใช้คือ BASIC PASCAL

www.geocities.com/suporn_m2002/Devel.htmi-6k-
ชนิดของคอมพิวเตอร์
พัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอดีตเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอดสุญญากาศขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และอายุการใช้งานต่ำ เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์ที่ทำจากชินซิลิกอนเล็ก ๆ ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และผลิตได้จำนวนมาก ราคาถูก ต่อมาสามารถสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนหลายแสนตัวบรรจุบนชิ้นซิลิกอนเล็ก ๆ เป็นวงจรรวมที่เรียกว่า ไมโครชิป (microchip) และใช้ไมโครชิปเป็นชิ้นส่วนหลักที่ประกอบอยู่ในคอมพิวเตอร์ ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลง
ไมโครชิปที่มีขนาดเล็กนี้สามารถทำงานได้หลายหน้าที่ เช่น ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูล ทำหน้าที่เป็นหน่วยควบคุมอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก หรือทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ หมายถึงหน่วยงานหลักในการคิดคำนวณ การบวกลบคูณหาร การเปรียบเทียบ การดำเนินการทางตรรกะ ตลอดจนการสั่งการเคลื่อนข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หน่วยประมวลผลกลางนี้เรียกอีกอย่างว่า ซีพียู (Central Processing Unit : CPU)



การพัฒนาไมโครชิปที่ทำหน้าที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์มีการกระทำอย่างต่อเนื่องทำให้มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเกิดขึ้นเสมอ จึงเป็นการยากที่จะจำแนกชนิดของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างชัดเจน เพราะเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพอจะจำแนกชนิดคอมพิวเตอร์ตามสภาพการทำงานของระบบเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่และสภาพการใช้งาน
ไมโครคอมพิวเตอร์ (micro computer)
สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation)
มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)

ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานส่วนบุคคล หรือเรียกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย
อาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้งอักขระ
แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display : LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม






โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (notebook computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้ำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือน กับแล็ปท็อป


ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่นเป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจนบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก


สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation)

ผู้ใช้สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่เป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่องกราฟิก การสร้างรูปภาพและการทำภาพเคลื่อนไหว การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็นเครือข่ายทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริษัทได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จสำหรับใช้กับสถานีงานวิศวกรรมขึ้น เช่นโปรแกรมการจัดทำต้นฉบับหนังสือ การออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์ งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุมเครื่องจักร
การซื้อสถานีงานวิศวกรรมต่างจากการซื้อเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ได้ และมีลักษณะการใช้งานเหมือนกัน ส่วนการซื้อสถานีงานวิศวกรรมนั้นยุ่งยากกว่า สถานีงานวิศวกรรมมีราคาแพงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์มาก การใช้งานก็ต้องการบุคลากรที่มีการฝึกหัดมาอย่างดี หรือต้องใช้เวลาเรียนรู้
สถานีงานวิศวกรรมส่วนใหญ่ใช้ระบบปฎิบัติการยูนิกซ์ ประสิทธิภาพของซีพียูของระบบอยู่ในช่วง 50-100 ล้านคำสั่งต่อวินาที (Million Instruction Per Second : MIPS) อย่างไรก็ตามหลักจากที่ใช้ซีพียูแบบริสก์ (Reduced Instruction Set Computer :RISC) ก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถเชิงคำนวณของซีพียูสูงขึ้นได้อีก ทำให้สร้างสถานีงานวิศวกรรมให้มีขีดความสามารถเชิงคำนวณได้มากกว่า 100 ล้านคำสั่งต่อวินาที


มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
มินิคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
มินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณืที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่อให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสาร


เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก
เมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
บริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัด
ปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม


ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงานคำนวณที่ต้องมีการคำนวณตัวเลขจำนวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น งานพยากรณ์อากาศ ที่ต้องนำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน และระดับชึ้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ งานนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก นอกจากนี้มีงานอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งมีความเร็วสูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุะ งานควบคุมทางอวกาศ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี เภสัชวิทยา และงานด้านวิศวกรรมการออกแบบ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบขนานที่เรียกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing : MPP) ซึ่งเป็นการคำนวณที่กระทำกับข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลา

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551